สามีอดีตพนักงานโรงงานผลิต เครื่องซีลสูญญากาศ เครื่องซีลปากถุง ร้องสายไหมต้องรอด ภรรยาโดนเจ้าหนี้อุ้มหาย หลังไม่ยอมจ่ายหนี้เงิน 90,000 บาท สุดท้ายโอละพ่อ ตำรวจไปเจออยู่ที่ทำงาน
วานนี้ (3 พ.ย.) เมื่อเวลา 18.30 น. นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด นำ นายเอก (นามสมมุติ) เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง หลัง น.ส.เปมิกา ภรรยา ถูกเจ้าหนี้เงินกู้พาพวกอุ้มหายไปจากที่ทำงาน โดยอ้างว่าหากไม่นำเงินมาคืนจะทำร้ายร่างกาย
โดย นายเอก (นามสมมุติ) เปิดเผยว่า คบกับภรรยาคนนี้มา 10 กว่าปี เมื่อก่อนไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงิน แต่พักหลัง ๆ เริ่มหมุนเงินไม่ทัน ภรรยามีอาชีพแบ็กสเตจ แต่หลังงานเริ่มน้อย ทำให้การเงินมีปัญหา ภรรยาจึงไปกู้ยืมจากเจ้าหนี้นอกระบบ รวมเป็นเงิน 150,000 บาท
ซึ่งมีการใช้หนี้ไปแล้วบางส่วน เหลืออีก 90,000 บาท ซึ่งภรรยาไม่มีเงินให้แล้ว จึงได้ต่อรองเจ้าหนี้ จนเป็นที่สรุปว่าให้ทยอยจ่ายเงิน จำนวน 90,000 บาท คืน 4 งวด หากผิดนัดจะมีการคิดดอกด้วย โดยงวดแรกคือวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ต้องจ่ายให้เจ้าหนี้ 37,000 บาท แต่ตนจ่ายให้ไม่ครบ และขอเลื่อนที่เหลือไปรวมกับยอดงวดถัดไป
ซึ่งในวันเดียวกัน ตนได้ไปส่งภรรยาที่ปั๊มน้ำมันหน้าบ้าน ตามความต้องการของภรรยา เพราะโดยปกติจะไปส่งที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นที่ทำงานจากนั้นเพื่อนของภรรยาก็มารับและเดินทางไปทำงาน
จนกระทั่งเวลา 11.00 น. ภรรยาไลน์มาหาว่าเข้าที่ทำงานไม่ได้ เพราะมีกลุ่มชายประมาณ 7-8 คน มายืนดักรอที่หน้าทางเข้าทำงาน จากนั้นก็ขาดการติดต่อไป จนแฟนได้ติดต่อผ่านไลน์และบอกว่าถูกเจ้าหนี้อุ้มไป และถูกทำร้ายร่างกายให้หาเงินมาคืนให้ครบ ไม่งั้นจะถูกส่งไปขายที่อื่น แต่แรกตนยังไม่ปักใจเชื่อ
จนกระทั่งเมื่อคืนภรรยาไปคอลไลน์ไปหาญาติด้วยใบหน้าเปื้อนเลือด และบอกว่าให้ช่วยหาเงินไม่งั้นจะถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาแจ้งความตนหาเงินได้ 10,000 บาท และโอนเข้าบัญชีภรรยาไปแล้ว เพราะคนร้ายจะให้ใช้วิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารภรรยาตน โดยการพูดคุยทั้งหมดผ่านไลน์จะถูกควบคุมและตรวจสอบโดยคนร้าย เพราะตนเคยขอให้เขาส่งโลเคชั่นมาแต่ไม่สามารถทำได้
อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าภรรยาไม่ได้กุเรื่องขึ้นมาเพื่อหลอกใคร เพราะสภาพภรรยาดูแย่มาก
ด้าน นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ เปิดเผยว่า เรื่องนี้ถูกร้องเรียนมาตั้งแต่เมื่อ 2 วันที่แล้ว ซึ่งในตอนแรกตนก็มองว่าอาจจะเป็นการสร้างเรื่องขึ้นมาหรือไม่ แต่เมื่อคืนมีภาพที่ภรรยาของนายเอก (นามสมมุติ) คอลวิดีโอมาในสภาพเลือดเต็มใบหน้า มีแผลใต้ตา จึงคิดว่าเรื่องนี้ควรแจ้งความไว้ก่อน หากเป็นเรื่องจริงจะได้ติดตามตัว และช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ซึ่งหากเป็นเรื่องจริงถือว่าอุกอาจมาก เพราะมาดักอุ้มคนในสถานที่สาธารณะมาก
ต่อมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สน.ห้วยขวาง ได้ทำการสืบสวน และเดินทางไปยังศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นจุดที่ น.ส.เปมิกา ภรรยาของนายเอก (นามสมมุติ) ทำงานอยู่ ในขณะเดียวกันเหมือน น.ส.เปมิกา จะจับสัญญาณความผิดปกติได้ จึงได้ทำการโอนเงินคือนายเอก โดยอ้างว่ายืมเพื่อนมาโอนให้นายเอกเอาไว้ใช้เพราะเป็นห่วง
ภายหลังชุดสืบสวนได้เข้าไปถึงตัวของนางสาวเปมิกา และพบว่าไม่ได้ถูกกักขัง หรือถูกทำร้ายร่างกาย แต่ น.ส.เปมิกา ยังทำงานตามปกติ โดยเจ้าตัวยอมรับสารภาพเบื้องต้นว่า สร้างเรื่องทุกอย่างขึ้นจริง แต่ยังไม่มีการสอบถามเหตุผล เนื่องจากเจ้าตัวยังอยู่ในระหว่างทำงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงปล่อยให้นางสาวเปมิกา ทำงานจนแล้วเสร็จก่อน จึงเชิญตัวเข้ามาพูดคุยที่ สน.ห้วยขวาง
โดยก่อนหน้านี้ นายเอก (นามสมมุติ) เคยให้ข้อมูลว่า น.ส.เปมิกา เคยอ้างว่าถูกเจ้าหนี้อุ้มไปเรียกเงิน 2 ครั้ง ซึ่งครั้งนี้หากโกหกอีก ตนเองจะเลิกรากับ น.ส.เปมิกา จริง ๆ